วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

๒๙ เมษา ๔๕ เสกสมรส .เรียกว่าป้า





วันนี้คุณท่านได้ดูพระราชพิธีอภิเษกสมรสไหมคะ
มะนาวรีบกลับบ้านนั่งเฝ้าหน้าจอเลยค่ะ
อยากเห็นชุดเจ้าสาวอ่ะค่ะ
เพราะยิ่งข่าวบอกว่าเคตเก็บชุดเจ้าสาวเป็นความลับ ก็ยิ่งทำให้อยากรู้
มะนาวเลยตั้งหน้าตั้งตารอดูชุดเจ้าสาวแบบใจจดใจจ่อเลยอ่ะค่ะ
มะนาวว่าชุดเจ้าสาวสวยดีนะคะ ไม่หวือหวาอลังการ
เคตใส่แล้วมะนาวว่าสง่างามมากเลยค่ะ
โดยเฉพาะชายกระโปรงที่เป็นหางปลาลากยาวโค้งมน
มะนาวว่าสวยจังเลยค่ะ แต่มะนาวว่าเคตดูผอมไปหน่อยนะคะ
มะนาวเห็นสมเด็จพระเทพด้วยล่ะค่ะ
มะนาวชอบการแต่งตัวของควีนมากเลยค่ะ
สีเหลืองทั้งองค์เลยค่ะ ตั้งแต่พระมาลาลงมาเลยค่ะ ประทับใจมากค่ะ
จะบอกว่าไม่ใช่เลยค่ะ ธิเบตดั้งเดิมไม่มีส่วนไหนเป็นของจีนเลยค่ะ
เพราะทั้งผู้คน วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ไม่มีอะไรที่เหมือนจีนเลยค่ะ
แต่ธิเบตอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่ดี ซึ่งจีนต้องครอบครองให้ได้
จึงนำมาซึ่งการรุกราน และครอบครอง และจัดให้เป็นเขตปกครองพิเศษ
พร้อมทั้งจีนยังได้มีการจัดหาองค์ดาไลลามะขึ้นมาเอง
โดยการแต่งตั้ง ไม่ใช่วิธีการเสาะแสวงหาองค์ดาไลลามะแบบดั้งเดิมอ่ะค่ะ
เพราะองค์ดาไลลามะคือศูนย์รวมจิตใจของคนธิเบต
เป็นผู้นำทางจิตวิญาน ที่พวกเขารักและเทิดทูนมาก
สามารถบอกให้คนธิเบตซ้ายหัน ขวาหันได้อ่ะค่ะ
แต่องค์ที่จีนแต่งตั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนธิเบตนะคะ
แต่จากที่ได้อ่านจากหนังสืออัตชีวประวัติขององค์ดาไลลามะ
พระองค์ท่านบอกว่าองค์ดาไลลามะของจีน
เป็นคนดี และรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นแค่หุ่นเชิดของจีนเท่านั้นค่ะ
แหะ แหะบอกแล้วว่าอย่าได้พูดเรื่องธิเบต มาเป็นฉากๆเลยไงคะ
ณท่านพูดว่าระวังมะนาวจะถูกเรียกว่าป้า
มะนาวนึกถึงรุ่นพี่เลยล่ะค่ะ 555เธอปรี๊ดแตกค่ะเพราะถูกเรียกว่ายาย
เธอเล่าให้มะนาวฟังว่าวันหนึ่งคนที่มาหาเธออายุประมาณสี่ขวบมากับแม่
และยายหนูคนนั้นก็เรียกเธอว่า"ยาย"ค่ะ
555มะนาวเลยถามว่าแล้วรุ่นพี่ทำไง
เธอบอกว่าชั้นก็บอกยายหนูคนนั้นไปว่าเรียกใหม่สิ
เรียกว่า"พี่"ได้ยินไหมคะเรียกว่าพี่
มะนาวถามว่าแล้วเด็กยอมเรียกหรือเปล่าคะ
รุ่นพี่บอกว่า เจ้าเด็กนั่นมองหน้าชั้น มองหน้าแม่
แล้วก็เรียกชั้นว่ายายเหมือนเดิม
555มะนาวหัวเราะกลิ้งอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ
แล้วมีอีกเรื่องหนึ่งนะคะ เป็นรุ่นพี่ผู้ชายค่ะ
ต้องขึ้นไปทำแผลburn(แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก)
ให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสองขวบกว่าๆค่ะ
พอเด็กเห็นรุ่นพี่เดินผ่านประตูเข้ามาเท่านั้นล่ะค่ะ
อ้าปากร้องไห้จ้าเลยค่ะ
พร้องกับเปล่งคำพูดที่ดังยาวเหยียด ไอ้เชี้ยยยยยยยยยยย

555มะนาวกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมดเลยค่ะ
มะนาวหันไปดูรุ่นพี่ เห็นหัวเราะหึหึในลำคอ
คงคิดในใจว่ามรึงตาย 555มะนาวพูดเล่นอ่ะค่ะ
เพราะพวกเรารู้อยู่แล้วค่ะว่าเด็กพวกนี้เจ็บปวดแค่ไหนเวลาทำแผล
เพราะฉะนั้นพอเห็นหน้ารุ่นพี่ขึ้นมา ก็เลยไอ้เชี้ยยยยยยยยยย 555
และในเมื่อคุณท่านอุตส่าห์ย้ำหลักสุขภาพถ้วนหน้า
ให้มะนาวใช้บริการ อย่างนั้นมะนาวไม่ขัดศรัทธานะคะ
วันเสาร์ อาทิตย์นี้ มะนาวจะไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋อ่ะค่ะ
มะนาวอาจจะไม่ได้มาเข้าเน็ตนะคะ
แต่คืนนี้มะนาวอาจจะแวะเข้ามาอ่านก่อนเข้านอนนะคะ
หรืออาจแวะมาตอนเช้าก่อนไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋อ่ะค่ะ
แต่ถ้ามะนาวกลับจากตะแล๊ดแต๊ดแต๋แล้วไม่เดี้ยง
มะนาวก็จะเข้ามาคุยนะคะ






อิจฉาคนมีต้นทุน "ป้าๆ" จริงนะครับ
สงสัยแวดล้อมคงเรียกท่านเช่นนี้ด้วย
เวลาผู้เขียนยิงมุขกระทบให้สะท้านหน่อย


เลยรู้สึกว่าท่านจะไม่ระคายผิวเอาสักเลย
งั้นเรามาข้ามเรือ่งเฒ่าๆ กันดีกว่า เดี๋ยวจะถูกยิงซ้ำ ว่า "หลวงตา" กันสักอีก
(แล้วก็ขอข้ามทิเบตด้วยนะครับ เหมือนว่าลามะกลับชาติน่าจะอยู่แถวๆนี้)
จะเรือ่งไหนเป็นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ "พิธีอภิเสกสมรส" ที่เป้นยิ่งกว่าบอลคู่หยุดโลก
ก็เช่นเคย แหล่งข่าวทวิตส์วันนี้เลยยิงกันสนุก
ชนิดช๊อตต่อช๊อต เเขกรับเชิญตอ่เเขกรับเชิญ




เพราะไม่ใช่เเค่เรือ่งของการรายงานเท่านั้น แต่รวมถึง
การขยายบอกต่อในช่องทางทราฟฟิกต่างๆ เลยรู้ว่าหลายสถานี
เล่นยืนหัวหาดถ่ายทอดยิงกว่ามหกรรมร่วมการเฉพาะกิจย่อมๆเสียอีก
เพราะมีทั้ง อสมท ไทยพีบีเอส เนชั่น แมงโก้ ทีเอ็นเอ็น วอยซ์ทีวี สปริงส์นิวส์
และมีเดียนิวส์ อันนี้ยังไม่รวมพวกโชเชียลมีเดียที่ปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์
ทั้ง YouTube.com และ google.co.uk ต่างเปลี่ยนโลโก้ต้อนรับพิธีเสกสมรสด้วย
ตลอดจน twitter ที่ต้องขยายทราฟฟิกเซิร์ฟเวอร์เพื่องานมงคลนี้โดยเฉพาะ




อย่างว่า งานแต่งงานไม่ได้หยุดสายตาชาวโลกแค่คู่หนุ่มสาวเท่านั้น
แต่ยังเหมาถึง "แขกไปใครมา" ที่เป็นไฮไลต์แย่งซีนได้ไม่แพ้กัน
ก็มีทั้งฉายเดี่ยว อย่าง คนที่เล่นเป็นมิสเตอร์บีน (ฐานะแขกของพ่อ)
เดวิค คาเมรอน นายกฯปัจจุบัน
เจ้าหญิงโซเฟียแห่งสเปน และสมเด็จพระเทพของเรา
ที่ทรงเสด็จในช่วงบ่ายสี่โมงครึ่ง ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์
ส่วนที่มาเป็นคู่รัก ก็ใช่ย่อย  เดวิด เบ็คแคมพร้อมภรรยาวิกตอเรีย
 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และ คาเมล่า พาร์คเกอร์ โบวลส์
ราชีนีอลิซาเบทที่สองพร้อมสวามี และก็เซอร์เอลตัน จอห์น พร้อมเออ
จำชื่อไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็น...ผู้ชาย




งานก็เป็นไปตามระเบียบพิธี แม้ดูํเหมือนจะมีผู้ประท้วงไม่กี่ท่าน
แต่ก็มิใช่ประเด็น  แต่ไฮไลท์ของงานก็หนีไม่พ้นที่ตรงนั้นบนหน้ามุข
ของมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ กว่าจะไปถึงที่ตรงนั้นได้
สื่อทางโน้นเขาก็ไล่ถ่าย Kate Middleton ตั้งแต่โรงแรม Goring
ตรงดิ่งยังมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ส่วนเจ้าชายวิลเลี่ยมก็แดงเต็มยศ
ด้วยชุดทหารไอริช ให้สาวใหญ่สาวน้อยได้กรี๊ดตลอดเส้นทาง
สู่การทำพิธีสาบานรัก โดย Archbishop Rowan Williams เป็นสักขีพยาน
ให้ได้ "ซึ้ง"  ก่อนจะได้ "แช๊ก" จากเหล่าบรรดาสื่อทั่วโลก เพื่อเป็นภาพไฮไลท์หน้าหนึ่ง
ระหว่าง  เจ้าชายวิลเลี่ยม จุมพิตเจ้าหญิงวิลเลียมแห่งเวลส์ที่ระเบียงพระราชวังบัคกิ้งแฮม
กลัวว่าครั้งเดียว จะเก็บภาพไว้ไม่อยู่ เลยต้องจัดเพิ่มให้รอบที่สอง
ซึ่งเห็นหลายบ้าน ถึงขั้นควักโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้ เก็บภาพประวัติศาสตร์นี้ไว้กันเลยทีเดียว




อิสริยยศของ Kate Middleton ก็ยกระดับเป็น
Her Royall Highness the Duchess of Cambridge และชุดเจ้าสาวที่สวยเรียบ
เช่นนี้ได้ ก็ด้วยซาร่าห์ เบอร์ตัน ผอ.ฝ่ายสร้างสรรค์ห้องเสื้อ อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน
ชาวอังกฤษผู้ล่วงลับเป็นดีไซเนอร์ออกแบบชุดให้กับ"เคท"
ถือเป็นงานใหญ่ ที่นายกฯผู้ดีบอกว่า คือ "ที่สุดของอังกฤษ" (เลยต้องกลับไปอ่าน
watching English ของค่ายมติชนอีกสักรอบ) และงานนี้ตามพับตามบาร์
คงจัดหนักกันหัวรุ่ง ด้วยรัฐบาลกำหนดให้เป็นวันหยุด พร้อมทั้งตั้งชื่อ
เบียร์พิเศษที่ชื่อ "Kiss Me Kate" เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย หลังซบเซาจากวิกฤตซับไพร์ม






เอ แต่ผู้เขียนแลแต่ภาพ ไม่ได้สัมผัสเสียง
เลยไม่ทราบว่า แขกผู้ให้ข้อมูลทางช่องเก้า ที่ชือ่ อาจารย์ชัยรงค์ มณเฑียรวิเชียรฉาย
แกให้ความรู้ และความเห็นดีแค่ไหน มีทั้งบอกว่า เล่าได้เวอร์แต่ก็เกร็ดความรู้แน่นดี
เห้นว่า เป็นอดีตพิธีกรปูนซีเมนต์ไทย ร้อยแปดสิบองศา
แหะ ๆ นานโคตร จดจำอะไรเลยไม่ได้ อยากจะให้คุณป้าๆ ช่วยรำลึกถึงสมัยนั้นหน่อยสิ



แล้วเดินทางครั้้งนี้ คงสนุกสุดเหวี่ยงอยู่แล้ว
คลายประจุชาร์ตพลังให้เต็มที่นะขอรับ ความคิดถึงไม่ต้อง
ขอของฝากอย่างเดียว รู้ว่าไปไม่เสียเที่ยว แต่ไม่เห็นจะเคยได้สักที



วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

๒๖ เมษา ๔๕ เนือ่งด้วย ปอท.ปิด 2bbit

เก็บเกี่ยวความเห็นทั้งหลายทั้งปวง จาก http://www.blognone.com/news/23270?utm_source=twitterfeed&utm_medium=twitter



จำสามสาวที่เต้นเปลือยอกกลางสีลมช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ไหมครับ
ถือเป็นปรากฎการณ์อาฟเตอร์ช็อกย่อมๆ แบบนอ้งๆญี่ปุ่น  ก็ว่าได้
อย่างน้อยๆ เท่าที่ส่งผลต่อสังคมหมู่ใหญ่มิใช่น้อย
อย่างแรกเลย ก็ก้นร้อนถึงขั้นผอ.เขต เตรียมกันมาตราการล้อมรั้วในปีหน้า
ต่อมา ก็สั่งเด้งเข้ากรุของผู้กำกับในเขตท้องที่นครปฐม
ด้วยข้อหาปล่อยให้มีสถานบริการที่สามสาวเจ้าอายุน้อย แหวกเข้าไปได้
และล่าสุด ศูนย์ ปอท. ตรวจเส้นทางเผยแพร่คลิปนี้
ผ่านดาต้าเซ็นเตอร์ซีเอ็สล็อคอินโฟ จึงผลให้ระงับการให้บริการของเว็บบิทชื่อดัง
"2bbit"  หรือที่รู้จักอีกชื่อว่า "bitthailand"





ไม่แปลกใจเท่าไร สำหรับมาตราการล้อมคอกของหน่วยงานราชการ
โดยเฉพาะหน่วยงานเกี่ยวกับอาชญากรรมเทคโนโลยี
ที่จะทำการปิดเว็บไซด์ใดเว็บไซด์หนึ่ง โดยอาศัยข้อบังคับในความผิดทางคอมพิวเตอร์
ด้วยก่อนหน้า ก็เคยสั่งปิดเว็บใหญ่ อย่าง youtube เนื่องจากมีคลิปหมิ่นเบื้องสูง
หรือเว็บประชาไท เนือ่งจากมีบทความหนึ่งที่แสดงความเห็นหมิ่นเหม่ต่อการล้มเจ้า
แต่มาตราการตอบโต้ที่รุนแรง หากเปรียบเทียบโดยพิจารณา
ความเป็นเว็บ ที่มีผลผูกพันต่อหน่วยยูสเซอร์ซึ่งมีความหลากหลายในเนือ้หา
ย่อมเท่ากับ คุณได้ทำลายคอนเทนด์เนือ้หาดีๆอีกมากมายของหลายๆท่าน
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวเนือ่งกับผลกระทบของคอมเทนต์เนือ้หา ที่ทาง ปทอ. ปักธงเอาไว้แล้ว
ผมไม่ได้หมายความว่า "คอมเทนต์เนือ้หาที่หมิ่นเหม่"
ไม่สมควรที่จะมีการตรวจสอบหรือทวงติง  แต่เป็นไปได้หรือไม่
ที่จะมุ่งบทลงโทษต่อบุคคลที่เผยแพร่สิ่งนั้น ในฐานะความรับผิดชอบในการกระทำผิดส่วนบุคคล
เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรับสินบน
ก็สมควรที่จะปิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสส.ซื้อเสียง ก็สมควรให้ยุบพรรค
ในส่วนที่เป็นฐานการรับผิดโดยส่วนรวม  ตามหลักกติกาในบรรทัดฐานเดียวกัน
คุณบอกได้ไหมว่า ในยูทูบมีสิ่งที่เป็นสาระต่อประชาชนมากแค่ไหน
เมื่อเทียบกับสิ่งที่มีความหมิ่นเหม่ แม้แต่ในสังคม "บิท" ก็มีคอมเทนต์เนื้อหาดีๆ
และคอมเทนต์ที่่อำนวยความสะดวกในการดาวน์โหลด
แบบไม่ต้องไปไล่หาตามเว็บอื่นให้ยุ่งยาก
มีทั้งคลิปประทานสัมภาษณ์ของพระองค์เจ้าในรายการวู้ดดี้ที่เป็นคลิปปักหมุด
หนังสืออีบุ้คหายาก ทั้งล่องไพร่ สามก๊ก พุทธธรรม ชุดธรรมโฆษณ์ หนังสือธรรม
ชุดรอบรู้วิทยาศาสตร์  MP3ท่านวอ วชิรเมธี  ตำราแผนหลวง คู่มือซ่อมคอม
ชุดขอ้สอบโทเฟล หรือสารคดี History Channel,Discovery
เทปรายการกีฬา เป็นต้น  ซึ่งเป็นสว่นดีๆ ที่ต้องได้รับผลกระทบอันด้วยมาตราการล้อมคอก
แบบ   "จับปลาเน่าในเข่งใหญ่"
(ก็อดไม่ได้ ที่จะคิดตามคุณ ที่ว่า ..ในนั้นมีอะไรที่มันสุดยอดกว่าคลิปเหล่านั้นตั้งเยอะนะ
แต่โดนปิดเพราะคลิปแค่นั้น ไม่ไหวเลยจริง ๆ และแบบคุณ Bongbank
.....ถ้าไล่จับคนโหลด ส่องนมสาวสีลม คงโดนกันค่อนประเทศสินะคนช่วย Seed โดนจับไหมหว่า)






อันนี้ว่ากันด้วย หลักความเป็นจริง ยิ่งระบบเครือข่ายที่มีผู้ใช้จำนวนมากๆ
การจะพึ่งพาเฉพาะหน่วยงานผู้ให้บริการ ยอ่มเป็นไปได้ยาก  เพราะผู้ให้บริการ
นอกจากจะต้องพัฒนาระบบภายในแล้ว ยังต้องมั่นสร้างกิจกรรมตลอดจนเนือ้หาภายใน
อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นผู้ใช้บริการส่วนหนึ่ง จำต้องพยายามตรวจสอบควบคุม ตักเตือนกันเอง
ซึ่งก็เป็นเพียงมาตราการรองรับอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามบทลงโทษ
ย่อมต้องตระหนักถึงการใช้อำนาจบังคับในทางที่ชอบ สืบเนื่องจากอำนาจตัดสินใจ
แม้แต่ทางเจ้าหน้าที่จะสั่งฟ้อง หรือมีอำนาจตรวจค้น
ยังต้องอาศัยการตรวจหลักฐานจากอัยการ หรือไม่ก็ทางศาล ในอีกชั้่น
ยิ่งในเนือ้หาทางหน้าเว็บไซด์ที่เปิดพื้นที่อิสระ ให้ใครก็ได้เข้ามาอ่านหรือแสดงความเห็น
รัฐกลับยิ่งมีอิสระ ในการเข้าตรวจภายในเนือ้หา ดังนั้นอำนาจพระเดชอย่างเดียว
ตามเงือ่นไขของการเข้าถึงข้อมูล ยิ่งทำให้รัฐต้องชั่งใจการใช้อำนาจมากขึ้นกว่าหลายเท่า
ผมจึงยิ่งไม่แปลกใจ ที่กระแส "ตีตก" พรบ.คอมฯ ล่าสุด จึงคว่ำตั้งแต่ยังไม่เข้าสภา
ด้วยใครก็ครหา ต่อการใช้อำนาจล้นฟ้าที่จะเอาผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็น
แขยงสองเท้าเข้าคุกได้อย่างไม่ยากนัก






โดยทั้งที่จริง มีมาตราการในเชิงสร้างสรรค์มากมาย ที่ทาง ปทอ .
ไม่เคยได้นำมาใช้ หรือที่ทางรัฐมักจะป่าวประกาศอยู่บ่อยๆก่อนจากสลายชุมนุมเดือนเมษา
ที่เรียกว่า "มาตราการเบาไปให้หนัก"  อาทิเช่น การว่ากล่าวตักเตือน แจ้งให้ทราบ
ข้อความร่วมมือ หรือชี้แจ้งทำการแก้ไข
สิ่งแน่นอน มาตราการพระเดชแบบรัฐอำนาจร่วมศูนย์  ก็ไม่เคยเห็นหัวประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ
โดยไม่ได้มองบริบทในแง่ ชุมนุมหน่วยคนไร้สังกัด (ขอยืมชื่อหนังสือของทาง สฤษณีหน่อย)
ที่เป็นศูนย์สังสรรค์ชุมนุมแห่งโลกไซเบอร์จากบุคคลที่มีความเป็นพหุชน
ทั้งอาชีพ วัย เพศ หน้าที่การงาน ชนชั้น รายได้ ศาสนาและเชื้อชาติ
แต่คุณก็ทลายความเป็นชุมชนของเขาเหล่านั้นทิ้งเสีย โดยมุ่งเป้าไปที่ "สิ่งแปลกปลอม"
หนึ่งเดียว  ส่วนบริวารแวดล้อมนั้นก็ตายทั้งหมู่ด้วยลูกหลงจากอำนาจรัฐห่าใหญ่





ดังนั้นผม อาจจะต้องข้อสงสัย แบบคุณ   ripmilla ก็ได้ที่ว่า
ก็ทีม ICT หาได้เท่านี้ ก็เลยเล่นได้เท่านี้...ส่วนใหญ่ก็ทำเอากระแส
เพื่อส่งมอบผลให้เจ้านาย มีอะไร ไปตอบเจ้านายใหญ่ อีกที
เพื่อที่เจ้านายใหญ่ จะได้มีอะไรไปตอบประชาชน ตอนหาเสียงอีกที





แต่กระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเอียงอยู่ฝ่ายตรงข้ามเจ้าหน้าที่
เพราะกระนั้น อำนาจที่ได้รับมอบหมายก็มีความชอบธรรมไว้ส่วนหนึ่งอยู่
เหมือนอย่างความเห็นของท่าน  raindrop ที่ว่า ..."เหมือนเมื่อก่อนเราไปซื้อแผ่นผีๆ
ที่พันทิพย์อ่ะครับ ผ่านไปอาทิตย์นึงปรากฎว่าร้านที่เราเคยซื้อถูกตำรวจซิวไปแล้ว
เราก็โกรธตำรวจเป็นการใหญ่ที่มาซิวร้านขายแผ่นผีของเรา
พลางด่าต่อไปว่างานการมีตั้งเยอะ ยาบ้ามีตั้งแยะทำไมไม่ไปจับ"




กระนั้น ก็ยังภาวนา ถึงปฎิหารย์อยู่ภายใน เหมอืนท่าน beamnarak  ที่ว่า


"รอ 3bbit สู้ๆ หัวใจข้าอยู่ที่ไหน"

ปล. หวังว่า อนุทินออนไลน์เรือ่งนี้ คงไม่ทำให้ถึงขั้นปิด google นะขอรับ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

๒๑ เมษา ๕๔ กรรมที่ไร้ความหมาย



ดูเหมือนว่า การหาวินัยในการเขียน กับ ภาวะการเห่อของใหม่
จะประสมกลมกลืนเข้ากันได้ยากยิ่ง
นอกจากจะต้องมองในภาวะของเงือ่นไขทางสัมมาอาชีพ
ที่ไม่เคย"สัมมา" ในความเป็นจริงในจิตใจแล้ว


เงื่อนไขในสภาพการณ์ที่ปลุกเร้าในจิตใจ ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน

ทำไม ผู้เขียน ต้องยึดเช่นนั้นนะเหรอ
ตามที่เข้าใจ  ในหลักธรรมเองก็กล่าวถึงเงือ่่นไขในสภาพจริง
อันเกิดจากหลักการของ "อุตุนิยาม" ที่เป็นกรอบการจำกัด
ในสภาพการณ์ของการปฏิบัติที่ติดเงื่อนไข


บางคนอยากออกไปเที่ยว ก็ติดในสภาวะอุตุนิยาม
ด้วยเหตุแห่งฝนตก บางคนอยากได้งานชิ้นสำคัญ
แต่มาติดสภาพจิตนิยาม ทำให้ต้องพลาดการได้งานชิ้นนั้น
หรือในหลายๆสภาพ ที่ไม่อาจหาคำตอบอย่างตายตัว
ก็เพ้อโทษใน "กรรมนิยาม" บางก็มี


"กรรม" อาจจะยังมีความหมาย ในฐานะชุดอธิบายชีวิตอย่างหนึ่ง
แต่ทว่า "กรรม" ก็ถูกลดเงือ่นไขในฐานะชุดอธิบายไปพอสมควร
เมื่อระบบสังคมมนุษย์  ถูกปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ภายใต้ระบบสังคมเมืองมากขึ้น
ไม่ใช่กรรมจะไมมีความหมายกับคนในสังคมเมืองอีกต่อไป
แต่ผู้คน ดูจะให้ความใส่ใจในฐานะที่กรรม  เป็นฐานของการอธิบายในทุกๆอย่าง
เพราะต้องทุกคนมัวมาติดในเงือ่นไขของกรรมเสียแล้ว
การยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ ที่มีปัจจัยของฐานะรายได้
ก็คงหมดความหมายไป อันนี้ไม่ได้รวมถึงการที่ชนชั้นนำ
หยิบคำอธิบายนี้ เพื่อกดสภาพการครอบงำมิให้เกิดการยกระดับ
ของคนในฐานะที่ต่ำกว่า ให้มามีสิทธิสภาพเทียบเคียงกันทางชนชั้นนะครับ
แต่กรรม มันถูกลดพลังไปพอๆกับ ความใส่ใจทางศาสนาของคนยุคปัจจุบัน
ที่ความเป็น "นิติรัฐ"  และ "กลไลทางเศรษฐกิจ"
ดูจะมีผลกระทบทางจิตใจได้มากกว่า ส่วนหนึ่งเพราะระบบการศึกษา
ได้หล่อหล่อมวิธีคิดนี้ เป็นพื้นฐานตั้งต้นของเยาวชนอย่างเป็นระบบ
ส่วนหนึ่ง กรรมในฐานะวิทยาศาสตร์ ก็ยังเป็นเรือ่งเชิงนามธรรม
ที่จับต้องแบบผลเชิงกระทบ ไม่เช่นนั้น
คงไม่มีหลายคนที่โอดครวญให้เราได้ยินว่า่
คนดีๆไม่น่ามาด่วนตาย หรือสส.เลวๆ กับเสวยอำนาจในความชอบธรรมเรือ่ยไป
และซ้ำเติมความคิดนี้ยิ่งขึ้น ด้วยการส่งลูก เมีย ลงมาเสวยเสพย์สุขในอำนาจนี้อีก
"กรรม"  จึงเป็นเครื่องมือที่ไร้สภาพ แม้คำอธิบายที่จะส่งเสริมความเชื่อนี้
ก็อธิบายเสียเหนือภพ เหนือกาล เหนือสภาพ
ไม่เว้นแม้แต่ ทำให้วิถีชีวิตปกติที่ใช้ชีวิตอยู่ๆของเรา
กลายเป็นเรือ่งสมมติ มายาภาพ และไร้ความไม่มีตัวตน อนันตา


ถ้าจะให้กรรมมีสภาพสอดรับได้ในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในความคิด
ก็คงหนึไม่พ้น  "เครือ่งมือตกโทษ"   ที่ไม่เคยโทษการกระทำของตน
มากไปกว่า ก็โทษกรรมเก่าที่ติดตามนี้่กระมัง

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

๑๙ เมษา ๕๔ กรณีโคโยตี้สีลมในสังคมไทย



หลังจากที่ผู้อำนวยการเขตบางรัก
พยายามที่จะดำเนินการ เรียกตัวสาวเจ้าวัยละอ่อน
ที่มีทั้ง "สิบสี่" "สิบห้า" และ "สิบหก" มาดำเนินคดี และเรียกค่าปรับ
"ห้าร้อยบาท" ต่อคน   ดูเหมือนว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหตุการณ์
ดูจะสนุก มันส์ และเร้าใจ  
ทั้งในส่วนของคนทำสื่อ และผู้เสพย์สื่อ
อย่างเราๆ  ท่านๆ

สงกรานต์ไทย ก็คงไม่ต่างจากการสาดน้ำเล่นในที่อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็น ลาว พม่า อินเดีย หรือภูมิประเทศไหน
ที่จะประกาศตัว การทำความเข้าใจในความหมายของ
สงกรานต์ = สาดน้ำ ยิงน้ำ และเต้นเย้ยน้ำ
ทำให้ขนบ จารีตและประเพณีบางอย่าง ถูกนำมารับใช้
กับระบบตลาด ที่แปรเปลี่ยนให้เป็นตัวเลขของการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม
ที่เน้นมูลค่าเฉลี่ยต่อหัวนักท่องเที่ยว  มากกว่า คุณภาพในเชิงวัฒนธรรม


สงกรานต์ที่เป็นการละเล่นในสายตาที่การท่องเที่ยวไทย
อยากให้คนต่างชาติได้มอง จึงหนีไม่พ้นสิ่งที่สามารถเล่าโดยภาพ
โดยที่ไม่ต้องอธิบายความหมายนัยยะที่แท้จริง เพราะนั้น
มันจะเป็นอุปสรรคในการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน ที่เขาเองก็อาศัยน้ำ
เพื่อการสาดเล่นไม่ต่างจากไทยเรา ขอแค่มีน้ำ ปท.ไหนๆนั้น
เขาก็มีกันนะครับ จากนั้น ค่อยไปตบกันที่ร้านเหล้า โรงบาร์และหาสาวกอด
ตามวิถีแห่งแบ็คแพ็กเกอร์

สงกรานต์ไทย จึงหนีไม่พ้นการถูกกลอมเกลาด้วยระบบตลาดการท่องเที่ยว
ทีเน้นรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นหลัก สิ่งที่ตามมา
จึงเป็นกรอบในมาตราฐานของการอัดฉีดรายได้ในโลกของทุนนิยมการท่องเที่ยว
โคโยตี้  จึงเป็นเพียงปรากฎการณ์หนึ่งของตะวันตก
ที่สอดรับกับความครื้นเครงและสนุกสนานเฮฮาในจังหวะที่กระชากใจ
ไม่น่าเชื่อนะครับ โคโยตี้ล่อนจ้อนเพียงสามนาง จะกลบสิ่งที่เป็นข้อวิพากษ์ช่วงต้นๆ
ที่มองเห็นว่า อันตรายไม่ต่างกัน ทั้งเรือ่งของอาชญกรรม การขายเหล้านอกเวลาจำหน่าย
การบริหารพื้นที่จราจร การเข้มงวดของการใช้กฎหมายในที่สาธารณะ
กลายเป็นสายตาที่พุ่งเป้า "นม" ไม่กี่้เต้า ทั้งจะว่าไป
เกิดขึ้นแบบนับรายหัวได้ แต่การทุบตี กระทบกระทั่ง ยกพวกทำร้ายให้คนอื่นได้รับลูกหลง
กรณีที่ว่านี้ ก็สำคัญไม่แพ้กันนะครับ อันนี้ไม่นับความน่าดู
ซึ่งกรณียกพวกตีนี้ ดูจะหาชมกันได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เด็กผู้หญิงโชว์อะล่างฉางในคลับในบาร์ จะเป็นเรือ่งหาดูได้ยากในเมืองหลวงของปท.ไทย
เพียงแต่ว่า มันถูกยกระดับในช่วงเวลาที่สื่อออนไลน์ ก็แสวงพื้นที่ทางสายตาสู่สาธารณชนได้
ไม่แพ้กัน

๑๙ เมษา ๕๔ กรณีโคโยตี้สีลมในสังคมไทย

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

จ ๑๘ เมย ๕๔ ปฐมฤกษ์อนุทินสัยอย่างเป็นทางการ



"บ๊าย บายครับ"



เป็นคำกล่าวคำทักทายอย่างเป็นทางการ

ถึงแม้ว่าจะดูคล้ายกับคำลา.........ก็เหอะ
อ่านในทวิตเตอร์เจ้าประจำ มีกระทาหญิงท่านหนึ่งบอกไว้น่าสนใจว่า
ทุกวันล้วนแต่เป็นวันสุดท้าย หากคิดจะเริ่มต้นใหม่
ดังนั้น...ผมจึงขอมีวันสุดท้าย กับเขาบ้าง!

อย่างน้อย และอย่างแรก การเปิดบล็อกตัวใหม่นี้
มีนัยยะอยู่สามประการ

ประการแรก หลังจากที่ละทิ้งนิสัยการบันทึกไดอารีประจำวัน
นับแต่เรียนจบมา ก็หลายปี อาจเป็นนิสัยที่ไม่ดีนัก
แต่ก็ต้องสารภาพว่า มันไม่ประทับใจจ๊อดส์
สมควรที่จะจดจำ ตรงกันข้าม
อยากจะให้เวลาช่วงดังกล่าวที่ว่ามานั้น ลืมเลือน และ หายไปเสียด้วยซ้ำ
สิ่งที่ดีที่สุด ที่จะทำได้ในตอนนั้น คือ
การปิดต้นฉบับการบันทึกไดอารีที่เป็นเล่มๆนั้นซะ
แต่กว่าจะหักดิบได้ ก็เล่นเอาแทบแย่ ก็อย่างว่าละนะ
คนมัน "เคยๆ" นิ เขียนมาเป็นรอ้ย เป็นพันวัน
อยู่ๆจะให้หยุดชะงักทันด่วนซะ ผลที่ตามมาก็เลย
กว่าจะเข็นความรู้สึกเก่าในฟิวส์ที่เหมือนเดิม
 มันจึงยากสักหน่อย............


ยิ่งมาเริ่มต้นจุดสตาร์ทเอาปลายเดอืน เมษาด้วยแล้ว
ถ้าขืนไปซื้อเป็นรูปเล่ม ยิ่งเสียเปรียบเพิ่มขึ้น
เพราะคงจะมีหน้ากระดาษว่างๆ ไปตั้งสามเดือน
โดยเริ่มตั้งแต่ มกรา จนถึงเดือน มีนา
ดังนั้น ก็อาศัยอินเตอร์เน็ตบล็อกกิ้งซะ

ง่ายดาย สะดวก และมักง่ายดีแท้


ข้อสอง ไหนๆก็มีสิ่งที่ช่วยฆ่าเวลาโดยง่าย
คอมพิวเตอร์ก็มั่นใช้ทุกวัน จะขยันอัพอีกสักหนึ่งอย่าง มันคงไม่มีปัญหาอะไร
ไม่ไปใช้คมนาคมสัญจร อย่าง เฟซบุค และทวิตเตอร์
ที่ถูกระดมใช้จนเกินงามซะเหลือเกิน อ่านแล้ว
รู้สึกว่าผู้เขียนเป็นคนดีซะเหลือเกินใช่ไหมละครับ?



ข้อสาม ตั้งไว้ให้ "รก" ตาเล่นๆ ให้สมดูเป็น
"ไตรลักษณวิธี" ไปงั้นๆแหละ



จบการอธิบายโวหารกาญจนากันเพียงแค่นี้
หลายคน คงโห .....อุตสาห์อ่านมาเนิ่นนาน
ที่แท้ .......


ก็ "ไดอารีออนไลน์" ดีๆ นี้เอง